ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าฟื้น-เงินทุนไหลทะลักแสนล้าน

April 5, 2022 0 Comments

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 4.3% คาดกำไร บจ.สร้างโมเม้นตัมขาขึ้นหลัก สัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลต่อเนื่อง 3 เดือนเข้ามาแล้ว 1.12 แสนล้านบาท

วันที่ 4 เมษายน 2565 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ผลสำรวจในเดือนมีนาคม 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า(เดือน มิ.ย.65) อยู่ที่ระดับ 117.92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.3% จากเดือนก่อนหน้า ยังคงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

โดยนักลงทุนมองปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุดคือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ไตรมาสแรกของปี 2565 และความคาดหวังต่อการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เพราะสถานการณ์ตลาดน้ำมันไม่ได้เกิดวิกฤตพลังงาน และการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

 

รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ซึ่งช่วงนี้มีมาตรการภาครัฐที่ผ่อนคลายมากขึ้นในเรื่องการตรวจ PCR ซึ่งสอดคล้องในหลายประเทศ จะนำไปสู่ทิศทางการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดคือ ความเสี่ยงต่อสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ยังกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งเชื่อว่าบางรอบอาจจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นว่าจะมีปฏิกิริยากันอย่างไรในช่วงที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกเริ่มสูงพอสมควร

 

เชื่อดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 1,800 จุด กำไร บจ.สร้างโมเม้นตัมหลัก
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือน มี.ค.65 พบว่าดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% เฉพาะในเดือน มี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยเชื่อว่ากำไร บจ.จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างโมเม้นตัมให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง

“ผมเชื่อว่าปีนี้เรายังได้เห็นดัชนี SET Index ที่ 1,800 จุด แต่อาจจะไม่ง่ายนัก ปัจจัยสำคัญคือการเปิดประเทศต้องประสบความสำเร็จ นักท่องเที่ยวจะต้องเข้ามาในประเทศเยอะ เพราะเราเสียโอกาสไปในช่วงไตรมาสแรกจากความขัดแย้งรัสเซียและยูเครนผสมกับการระบาดโอมิครอน กดดันทุกอย่างช้าออกไป แต่ตั้งแต่ไตรมาส 2 รัฐเริ่มผ่อนคลายการเดินทางให้ง่ายขึ้นหลังจากมาถึงไทย จึงคาดหวังน่าจะได้เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น” นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนปัญหาการระบาดของโควิดก็ยังน่ากังวลอยู่ แต่จากระดับการฉีดวัคซีนและมาตรการภาครัฐที่จะควบคุมเรื่องเหล่านี้ ซึ่งส่งผลต่อความสำคัญต่อเศรษฐกิจเป็นหลัก เชื่อว่าจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังสูงอยู่ เชื่อว่าครึ่งหลังปี 65 หากนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากและกำไร บจ.ต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทเกี่ยวข้องการบริโภคและการท่องเที่ยว ก็น่าจะมีการปรับตัวขึ้น รวมไปถึงกำไรของธุรกิจธนาคารด้วย จึงน่าจะเป็นอีกแรงส่งทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปได้

ประกอบการสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนนิ่งสงบลงได้ก็จะเป็นผลดีต่อไทย เพราะผลกระทบต่อไทยในปัจจุบันจะเป็นผลกระทบทางอ้อมที่ถูกส่งผ่านด้านราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งในหลายๆ ประเทศเริ่มเข้ามาดูแลเรื่องเหล่านี้ ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยเฟดวันนี้ตลาดรับรู้ไปมากแล้ว ปีนี้อาจจะขึ้นดอกเบี้ยจนทะลุ 2% ตอนนี้อยู่ที่ 0.25-0.5% ถ้าเป็นไปตามนี้ตลาดหุ้นไม่น่าจะตกใจมาก แต่จะอยู่ที่ภาวะเงินเฟ้อจะควบคุมได้แค่ไหน

Inverted yield curve ไม่เปลี่ยนทิศตลาดหุ้น
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล(Inverted yield curve) ของสหรัฐ ที่ดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งสะท้อนจะนำไปสู่การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย(Recession) โดยครั้งที่มีความแม่นยำที่สุดคือ Inverted yield curve อยู่ในระยะเวลานาน 3 เดือน(นับตั้งแต่วันแรกที่เกิด) ถึงจะนำไปสู่การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นมาแล้วไม่กี่สัปดาห์ ฉะนั้นต้องติดตามกันต่อไป นอกจากนี้หลังเกิด Inverted yield curve ไปแล้วพบว่าไม่ได้กดดันทำให้ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐเปลี่ยนทิศในระยะสั้น หรือในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้าจะยังอยู่ในขาขึ้น

3 เดือน เงินทุนทะลักแสนล้าน มากสุดรอบ 15 ปี
“ปีนี้ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ตลาดหุ้นประเทศพัฒฯาแล้วอาจจะขึ้นได้ไม่มากเท่าไรเพราะขึ้นมาเยอะแล้ว ในขณะที่ดอกเบี้ยขาขึ้นและทิศทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอลง จากการทำให้ภาวเศรษฐกิจ soft landing จากที่โตมามากในอดีต ส่วนไทยกลับกันเป็นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว

จึงได้วัฏจักรเศรษฐกินกำลังขาขึ้น จึงไม่แปลกใจที่เงินทุนไหลเข้ามาในไทยตั้งแต่ 1 ม.ค.-1 เม.ย.65 กว่า 1.12 แสนล้านบาท น่าจะมากที่สุดย้อนหลัง 15 ปี ถือเป็นเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาค่อนข้างสูง และต่อเนื่องพอสมควร” นายไพบูลย์ กล่าว

เชื่อว่าจากนี้ไปจะยังเห็นเงินไหลเข้ามาได้ จากภาพตลาดหุ้นไทยยัง underperform เมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่นๆ หลังโควิด และเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศอื่นกำลัง soft landing จึงมีความน่าสนใจอยู่ โดยราคาหุ้นตอนนี้ PE ตลาดอยู่ที่ 17 เท่า ราคาหุ้นอาจจะไม่ถูก

แต่ถ้าจะดันดัชนีไปแตะระดับ 1,800 จุด อาจต้องมีแรงช่วยในแง่การปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ขึ้นด้วย เพื่อสร้างโมเมนตัมไปต่อได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ถ้าภาคท่องเที่ยวทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ และสถานกาณ์ราคาน้ำมันดีขึ้น ทำให้เป็นห่วงเงินเฟ้อน้อยลง น่าจะเป็นอีกแรงให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance