เจาะ 3 ตลาดเด่นปีนี้ห้ามพลาด “จีน-ยุโรป-ไทย”ควรมีติดพอร์ต

บลจ.กรุงศรีมอง 3 ตลาดหุ้น “จีน-ยุโรป-ไทย” น่าสนใจ สามารถลงทุนเพิ่มหรือมีติดพอร์ต เหตุเป็นตลาดหรือประเทศที่อยู่ในวัฏจักรฟื้นตัวมากกว่าตลาดที่พีคไปแล้ว แถมเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวไปและปรับลดลงไปแล้วแต่กำลังจะเติบโตใหม่อีกครั้ง
หลายคนนั่งคิดตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าจะลงทุนอะไรดี บางคนได้คำตอบไปแล้ว ยิ่งคนที่ใช้สิทธิ์หักลดหย่อนภาษีให้ทันปลายปียิ่งต้องรีบตัดสินใจ ความจริงการลงทุนที่เน้นย้ำกันมาตลอดคือความสม่ำเสมอ แต่ส่วนใหญ่มักแห่ซื้อช่วงสิ้นปี ด้วยข้อจำกัดอะไรมิทราบได้ แต่ถ้าต้องซื้ออยู่แล้วก็ควรวางแผนให้ดีเพราะถ้าต้องรอปลายปีอย่างเดียวจะกลายเป็น “ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ ” ได้ของแพงไม่สมราคากันไป
ถ้าใครพอเข้าใจแต่ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี ถึงตรงนี้มีข้อมูลดีๆ ชี้เป้ามาให้เผื่อจะมีโอกาสยิ้มแก้มปลิได้ 2 เด้งทั้งผลตอบแทนและหักภาษีไปในคราวเดียวกันเมื่อจบปี 2022
เจาะ 3 ตลาดเด่นปีนี้ห้ามพลาด “จีน-ยุโรป-ไทย”ควรมีติดพอร์ต
ทั้งนี้ ข้อมูลผลตอบแทนของกองทุนตามรายงานของมอร์นิงสตาร์ ไทยแลนด์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565 พบว่า ผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนหุ้นยุโรป เฉลี่ยปี 64 อยู่ที่ 25.5% โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันคือ กองทุนเปิด ยูโร ไฮดิวิเดนด์ (EHD) มีผลตอบแทน 1.47%
ส่วนหุ้นไทยขนาดใหญ่ ผลตแแทนเฉลี่ยปี 64 อยู่ที่ 16.06% กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันคือ กองทุนเปิด JUMBO 25 ผลตอบแทนอยู่ที่ 5.30% และหุ้นจีน ผลตอบแทนเฉลี่ยปี 64 อยู่ที่ -12.85% กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันคือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) หรือ SCBCEHE ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.86%
3ตลาดเด่นควรมีติดพอร์ตปี2022
ศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี บอกว่า ในปีนี้ถ้าให้เลือก 3 ตลาดที่เรามองว่าน่าสนใจ สามารถลงทุนเพิ่มได้ หรือควร มีติดพอร์ตไว้สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีในพอร์ตจะมีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน โดยจะดู
เป็นตลาดหรือประเทศที่อยู่ในวัฏจักรฟื้นตัวมากกว่าตลาดที่พีคไปแล้วและกำลังจะถอนคันเร่งหรือนโยบายเสริมสภาพคล่องออกหรือไม่ ซึ่งกลุ่มที่ถึงจุดพีคไปแล้วต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยถ้ามองภาพใหญ่เรื่องของเศรษฐกิจโลกเราจะเห็นวัฎจักรที่ต่างกันแต่ละประเทศชัดขึ้น
กลุ่มที่ฟื้นตัวไปและปรับลดลงไปแล้วแต่กำลังจะเติบโตใหม่อีกครั้ง
กลุ่มที่ฟื้นตัวช้าในช่วงที่ผ่านมาก็มีความน่าสนใจเช่น กลุ่มตลาดเกิดใหม่
กลุ่มแรกที่ฟื้นเร็วจนฟุบและกำลังจะกลับมาเร่งคันเร่งใหม่
อย่างเช่น จีน จะเข้าข่ายกลุ่มแรกซึ่งศักยภาพของจีนในระยะยาวเป็นที่ทราบกันดีว่า เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ซึ่งจีนขณะนี้กลับมาอยู่ในจุดที่มีความจำเป็นในการใส่นโยบายเพื่อผลักดันเศรษฐกิจอีกครั้ง และที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นไปบ้างแล้วเช่น การปล่อยสภาพคล่องเป็นระยะ
จุดกังวลที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาคือการกำกับดูแลของภาครัฐเองก็ค่อนข้างถึงจุดอิ่มตัว โดยต่อจากนี้รัฐบาลจีนน่ากลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้นและส่งผลให้จากเดิมแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่เคยมีอัตราการเติบโตลดลงกลับมามีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นแทน
“ที่ผ่านมาการกำกับดูแลของภาครัฐทั้งเรื่องของหุ้นเทคฯ เกมมิ่ง การจำกัดการบริโภคเหล้าและการใช้ชีวิตน่าจะถึงจุดพีคแล้ว ซี่งในปีนี้จีนน่าจะโฟกัสเรื่องการเติบโตบของเศรษฐกิจมากขึ้น นโยบายที่จะออกมาสนับสนุนการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้านการเงินการคลัง และอะไรที่มันตึงๆคงจะเริ่มหย่อนลงมาบ้างเช่นอสังหาฯอะไรแบบนี้ โดยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนในหุ้นในระยะเวลาอันใกล้ทำให้จีนเป็นตลาดที่เราชอบเพราะเชื่อว่าถึงเวลาที่จีนจะใส่นโยบายการสนับสนุนเหล่านี้มากขึ้นแล้วเพราะเขาคงไม่อยากแบกรับถ้าการควบคุมมันทำให้เศรษฐกิจโตน้อยมากและอาจจะเกิดปัญหาสังคมขึ้นได้ โมเมนตัมของเศรษฐกิจจีนก็จะเปลี่ยนไปเป็นขาขึ้นมากกว่า”
นอกจากภาพรวมของเศรษฐกิจแล้ว ความน่าสนใจของหุ้นจีนคือเรื่องของราคา ซึ่งที่ผ่านมาราคาปรับตัวลงไปพอสมควร และเป็นจุดที่ราคาเหมาะสมที่จะเข้าลงทุนใหม่แล้วไม่ว่าจะมองในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ถือเป็นช่วงราคาที่เหมาะสม
ส่วนปัจจัยเสริมที่จะส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นจีนปีนี้นอกจากปัจจัยพื้นฐานและราคาที่น่าสนใจแล้วอีกเรื่องคือ ฟันด์โฟลว์ ในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นได้ว่ามีสัญญาณของการกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนบ้างแล้วหลังตลาดสหรัฐฯต้องประสบกับปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งถ้ามองในแง่ของสัดส่วนต่างชาติที่ถือครองหุ้นจีนแล้วยังมีอยู่น้อยมากทำให้ยังมีโอกาสที่จะเข้าลงทุนเพิ่มอีก เพราะจีนเป็นตลาดที่กว้างและหลากหลายทำให้เป็นอีกตลาดที่นักลงทุนระยะยาวต้องมี
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว
ถ้ามองกันจริงๆไม่ใช่ทุกประเทศที่ถอนคันเร่ง ถ้าดูในแง่วัฏจักรที่ผ่านมายังมีประเทศที่ฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่อย่าง ยุโรป ก็ถือเป็นตลาดที่เราสนใจ เพราะเราคาดว่าถ้ายุโรปสามารถเติบโตได้อย่างไม่สะดุดหุ้นในตลาดนี้น่าจะมีอัพไซด์ได้ถึง 15% ในปีนี้
ยุโรปมีอัตราการเติบโตไม่เต็มที่มากนักเนื่องจากมีนโยบายที่ค่อนข้างระมัดระวังในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ช่วงหลังจะเริ่มเห็นการผ่อนคลายและความพยายามกลับไปใช้ชีวิตมากขึ้นทั้งในอังกฤษและหลายประเทศในยุโรป
“ปีนี้ยุโรปน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น เพราะนโยบายคุมโควิดจะค่อยๆปรับลดลงเช่นมาตรการล็อกดาวน์คงไม่ได้ใช้แล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจจะนิ่งกว่านี้ ไม่ใช่โตๆหยุดๆเหมือนในช่วงที่ระบาดในปีที่ผ่านมา โดยการที่เขาเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่การฟื้นตัวค่อนข้างสะดุด ยุโรปจึงเป็นกลุ่มประเทศท้ายๆที่จะถอนคันเร่งและคงมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ทำให้ผลกระทบของเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยจะน้อยมาก”นายศิระกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี บอกอีกว่า นอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้วกลุ่มยุโรปก็ได้รับประโยชน์จากราคาด้วยเช่นกัน เพราะช่วงราคาก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก แต่ถ้ามองในแง่การเติบโตแล้วศักยภาพของยุโรปไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐฯเลย
ตลาดสุดท้ายเลยคือ ไทย
ส่วนนึงที่มองไทยเพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวช้ากว่าตลาดอื่นเยอะมาก เราจะเริ่มเห็นแนวโน้มในเชิงของภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้ไทยน่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมาจากการนโยบายรัฐที่ยังคงต้อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และจะมีโอกาสมากขึ้นหากภาคการท่องเที่ยวสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม
“นโยบายมีอีกหลายแพ็คเก็จที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและเชื่อว่ายิ่งใกล้เลือกตั้งรัฐบาลคงจะเต็มที่อยู่แล้ว และเราจะเห็นได้ตลอดทั้งปีทั้งในส่วน การช่วยคนรายได้น้อย การบริโภค และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยนโยบายการคลังก็ยังอยู่และการคงดอกเบี้ยของแบงก์ชาติจะทำให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจมากในปีนี้ และเรามีลุ้นเซอร์ไพรส์ด้วยถ้าการท่องเที่ยวเราฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดและน่าจะมีโอกาสเห็นได้ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้จากนโยบายเทสแอนด์โกและตัวเลขนักท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวดีขึ้น”
มุมมองของเรา หุ้นไทยปีนี้ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,800 จุดในช่วงปลายปีถ้าการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้าในลักษณะนี้ แต่ถ้ามีสัญญาณจาการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นหุ้นไทยปีนี้อาจปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,850 จุดได้เช่นกัน
ส่วนผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อของสหรัฐน่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก แต่กลับกันหากต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้นดัชนีหุ้นไทยคงจะเกิน 1,800 จุดได้ไม่ยาก และในช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นสัญญาณนี้บางแล้วทำให้ตลาดสุดท้ายที่เราชอบก็คือไทย เพราะค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร
อ้างอิง
https://www.thansettakij.com